23 ก.ย. เทคโนโลยี GIS เสริมพลังมาตรการรับมือฤดูฝน 2568 คาดการณ์ป้องกัน–ติดตาม–ฟื้นฟู รับมือน้ำท่วมครบทุกมิติ
Posted at 14:53h
in Blog
“น้ำท่วม” เป็นปัญหาที่ประเทศไทยต้องเผชิญแทบทุกปี โดยเฉพาะช่วงปลายฤดูฝน (สิงหาคม–ตุลาคม) ที่มักมีฝนตกหนัก พายุเข้า และน้ำเหนือไหลหลากลงสู่ภาคกลาง สร้างความเสียหายต่อชีวิตการเป็นอยู่ เศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐานในหลายพื้นที่ ปัญหานี้ไม่ใช่เพียงสถานการณ์เฉพาะหน้า แต่กลายเป็นความท้าทายซ้ำซากที่ต้องการการจัดการอย่างเป็นระบบ
รัฐบาลได้กำหนด “9 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568” เพื่อเตรียมความพร้อมในการเผชิญเหตุ ครอบคลุมตั้งแต่การคาดการณ์ล่วงหน้า การติดตามสถานการณ์ ไปจนถึงการฟื้นฟูหลังน้ำลด อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้จะมีพลังมากขึ้นก็ต่อเมื่อมีเครื่องมือที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูล วิเคราะห์ และสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งก็คือเทคโนโลยี GIS (Geographic Information System) นั่นเอง
.
ซึ่ง GIS ไม่เพียงทำหน้าที่เชื่อมโยงข้อมูลจากหลายแหล่งให้เห็นภาพรวมบนแผนที่เท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยเชื่อมโยงข้อมูล สร้างภาพรวมที่เข้าใจง่าย และสนับสนุน การตัดสินใจอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะในภารกิจการจัดการน้ำท่วม GIS มีบทบาทสำคัญใน 3 ระยะหลัก: ก่อนเกิดเหตุ – ระหว่างเกิดเหตุ – และหลังน้ำลด
.
โดยในระยะก่อนเกิดเหตุ GIS ช่วยให้เรามองเห็นความเสี่ยงล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ ข้อมูลเชิงพื้นที่ถูกนำมาใช้ในการชี้เป้าและวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม การจำลองสถานการณ์ตามปริมาณฝนหรือระดับน้ำที่คาดว่าจะสูงขึ้น รวมถึงการระบุจุดคอขวดของเส้นทางน้ำเพื่อปรับปรุงระบบระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเตรียมมาตรการป้องกันและลดความเสียหายได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ อีกทั้งยังสามารถสื่อสารต่อสาธารณะผ่านแผนที่ออนไลน์ที่เข้าใจง่าย ทำให้ทุกภาคส่วนมีโอกาสเตรียมตัวไปพร้อมกัน
.
เมื่อเข้าสู่ช่วงที่เกิดน้ำท่วมจริง ความเร็วและความแม่นยำในการตัดสินใจกลายเป็นหัวใจหลัก GIS จึงกลายเป็นศูนย์กลางที่รวบรวมข้อมูลจากหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นปริมาณน้ำฝน ระดับน้ำในเขื่อน ภาพถ่ายดาวเทียม หรือเส้นทางพายุ ทั้งหมดถูกแสดงผลบนแผนที่ที่เห็นได้ชัดเจนและเข้าใจง่าย ทำให้สามารถเฝ้าระวัง แจ้งเตือน และจัดการกับสถานการณ์ได้ทันที ขณะเดียวกัน GIS ยังช่วยติดตามพื้นที่ที่น้ำท่วมขยายตัวโดยการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมเปรียบเทียบก่อนและหลัง รวมถึงเปิดโอกาสให้ประชาชนรายงานสถานการณ์จริงจากพื้นที่ เพื่อเสริมข้อมูลภาคสนามเข้าสู่ระบบการตัดสินใจ ผลลัพธ์ทั้งหมดถูกแสดงผ่าน Dashboard แบบเรียลไทม์ที่บอกได้ทันทีว่าพื้นที่ใดได้รับผลกระทบ ถนนเส้นไหนถูกตัดขาด หรือมีครัวเรือนใดต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน
.
ช่วงหลังน้ำลด การฟื้นฟูและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำเป็นอีกระยะที่ GIS แสดงบทบาทสำคัญ ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมและการสำรวจภาคสนามช่วยให้ประเมินความเสียหายได้อย่างชัดเจน ทั้งพื้นที่เกษตรกรรม บ้านเรือน หรือโครงสร้างพื้นฐานที่พังเสียหาย การวิเคราะห์เชิงพื้นที่ยังช่วยจัดลำดับความสำคัญของการฟื้นฟู โดยคำนึงถึงพื้นที่ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมากหรือเศรษฐกิจของประเทศ ข้อมูลเหล่านี้ถูกบันทึกและติดตามอย่างต่อเนื่อง ทำให้การช่วยเหลือโปร่งใส ตรวจสอบได้ และยังสามารถใช้ในการวางแผนป้องกันระยะยาว เช่น การสร้างเขื่อน คันกั้นน้ำ หรือการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ที่ดินในพื้นที่เสี่ยงท่วมซ้ำซาก
.
จะเห็นได้ว่า GIS ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียง “แผนที่” แต่เป็นกลไกที่ช่วยให้ประเทศสามารถ “รู้ล่วงหน้า รับมือทันเวลา และฟื้นฟูตรงจุด” การมีเครื่องมือเชิงพื้นที่ที่เชื่อมโยงทุกข้อมูลเข้าด้วยกันเช่นนี้ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้สังคมไทยรับมือกับน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความสูญเสีย และสร้างความมั่นคงให้กับประชาชนในระยะยาว
.