ArcGIS เบื้องหลังภารกิจช่วยเหลืออาคารถล่ม จากข้อมูลสู่การตัดสินใจในสถานการณ์ฉุกเฉิน

 

มื่อเทคโนโลยี GIS กลายเป็นกลไกสำคัญในการรับมือภัยพิบัติระดับประเทศ พลิกสถานการณ์วิกฤตให้เป็นแนวทางปฏิบัติและการจัดการที่แม่นยำอย่างมีประสิทธิภาพ

ในสถานการณ์ฉุกเฉิน “ข้อมูล” คือทรัพยากรสำคัญที่สุด เทคโนโลยี GIS (Geographic Information System) จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือสร้างแผนที่อีกต่อไป แต่กลายเป็นเทคโนโลยีที่ช่วย “เชื่อมโยงข้อมูล สร้างความเข้าใจ และขับเคลื่อนการตัดสินใจ” แบบเรียลไทม์

กรณีเหตุอาคารถล่ม ณ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) คืออีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนพลังของ GIS ในการสนับสนุนภารกิจช่วยเหลือชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อ GIS เทคโนโลยีเชิงพื้นที่ ผสานพลังความร่วมมือระดับนานาชาติ เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสแห่งการเรียนรู้ โดย Esri Thailand ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร (กทม.) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (DDPM) และ Israeli Home Front Command (HFC) นำเทคโนโลยี GIS มาใช้ในทุกมิติของการทำงาน ตั้งแต่การสำรวจ วิเคราะห์ วางแผน แสดงผล ไปจนถึงการสื่อสารแบบ Real-time ระหว่างทุกหน่วยงาน

ความท้าทายที่ไม่ใช่แค่เรื่องพื้นที่ – การจัดการภารกิจในพื้นที่ภัยพิบัติมีความซับซ้อนมากกว่าที่ตาเห็น ความท้าทายหลักในการปฏิบัติงานครั้งนี้ เช่น

  • ข้อมูลกระจัดกระจาย และการแชร์ข้อมูลล่าช้า
  • ขาดการมองเห็นสถานการณ์ในภาพรวมแบบเรียลไทม์
  • การสื่อสารกับประชาชนและหน่วยงานเกี่ยวข้องยังไม่ทั่วถึง
  • การจัดสรรทรัพยากรไม่ตรงจุด

 

GIS เข้ามาช่วยภารกิจนี้อย่างไร?

เทคโนโลยี GIS ทำหน้าที่เป็น “แพลตฟอร์มกลาง” ที่เชื่อมโยงข้อมูลทุกมิติไว้ด้วยกัน ทั้งข้อมูลเชิงพื้นที่ ภาพถ่ายทางอากาศ ข้อมูลจากโดรน ข้อมูลจากภาคสนาม และการวิเคราะห์สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

 

จากภาพโดรน… สู่แผนที่ 3D ที่วิเคราะห์ได้ทันที

ภาพถ่ายทางอากาศที่ได้จากโดรน ไม่ใช่แค่ภาพประกอบ แต่ถูกประมวลผลเป็น Orthophoto และโมเดล 3D ของพื้นที่จริง ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถประเมินโครงสร้างอาคาร สภาพพื้นที่เสี่ยง และวางแผนการเข้าช่วยเหลือได้แม่นยำขึ้น ลดความเสี่ยงต่อทีมกู้ภัย

การเก็บข้อมูลภาคสนามที่ เร็ว-ตรงจุด-แม่นยำ

เจ้าหน้าที่สามารถใช้เครื่องมือ GIS บนมือถือเพื่อบันทึกจุดที่พบผู้ประสบภัย วัตถุต้องสงสัย หรือพื้นที่เสี่ยง พร้อมระบุตำแหน่ง พิกัดและแนบภาพถ่าย ข้อมูลทั้งหมดจะส่งตรงเข้าระบบกลางทันที ช่วยลดเวลาในการสื่อสาร และหลีกเลี่ยงความผิดพลาดจากการจดบันทึกแบบเดิม

การสร้างภาพรวมสถานการณ์ที่ทุกฝ่าย “เห็นตรงกัน”

หนึ่งในหัวใจสำคัญคือการทำให้ทุกฝ่าย—จากผู้ปฏิบัติงานภาคสนามจนถึงผู้บริหาร—“เห็นข้อมูลชุดเดียวกัน” ผ่าน Web-based Interactive Map ที่รวมข้อมูลทั้งหมดไว้ในหน้าเดียว ช่วยให้ตัดสินใจได้ทันเวลา และทำงานสอดประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ

การวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อการคาดการณ์และตัดสินใจ

GIS ไม่ได้เพียงแค่บอกว่า “ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น” แต่สามารถวิเคราะห์คาดการณ์ว่า “สิ่งใดจะเกิดขึ้นต่อไป” ด้วยการประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ ผนวกกับการวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยง การวัดประเมินปริมาตรและความสูงของตึกที่ถล่ม เพื่อวางแผนการรื้อถอน วางแผนการค้นหา กำหนดเส้นทางการเข้าถึงที่ปลอดภัย และการจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

 

.

กรณีนี้ทำให้เห็นว่า GIS ไม่ใช่แค่เครื่องมือของนักแผนที่อีกต่อไป แต่เป็น “ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ” ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในสถานการณ์วิกฤต

  • ทำให้ข้อมูลมีโครงสร้างและใช้งานได้ง่าย
  • ช่วยให้ทุกฝ่ายเห็นภาพเดียวกัน
  • เร่งกระบวนการตัดสินใจ
  • เพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ปฏิบัติงาน
  • สนับสนุนการสื่อสารสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ

 

ในสถานการณ์เร่งด่วน การมีระบบที่สามารถรวมข้อมูลจากทุกฝ่ายให้เข้าถึงได้ทันที คือสิ่งที่สร้างความต่างให้การตัดสินใจ เทคโนโลยี GIS ทำหน้าที่เชื่อมโยงข้อมูลภาคสนาม ภาพถ่ายทางอากาศ และการวิเคราะห์พื้นที่ เข้าด้วยกันแบบไร้รอยต่อ

ไม่เพียงแค่สร้างแผนที่ แต่ GIS ยังช่วยให้เห็น “ภาพรวมของสถานการณ์” ผ่านมุมมองแบบ 3 มิติ เข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรายวัน และตอบคำถามสำคัญได้อย่างแม่นยำ เช่น พื้นที่ไหนเสี่ยง? จุดไหนควรเร่งเข้าไปช่วยเหลือ? ต้องจัดทรัพยากรอย่างไร? สะท้อนให้เห็นว่า เทคโนโลยี GIS คือทางรอดในยามวิกฤต ไม่ใช่แค่ทางเลือก และไม่ได้มีบทบาทเฉพาะในภารกิจระยะสั้น แต่ยังปูพื้นฐานสำหรับการเรียนรู้ วิเคราะห์ และเตรียมความพร้อมในอนาคต

 

 

.