เทคโนโลยีก้าวไกลเมื่อเกษตรก้าวสู่ Indoor farming

เมื่อธุรกิจการเกษตรในปัจจุบันต่างคำนึงถึงผลกระทบต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม วิธีการลดคาร์บอนฟุตปริ้นท์จึงเกิดขึ้นมากมาย ตัวอย่างหนึ่งคือบทความล่าสุดของนิตยสาร Forbes ที่กล่าวถึงสตาร์ทอัพด้าน Vertical farming ซึ่งเป็นการปลูกผักและผลไม้ในแนวตั้งภายในอาคารซ้อนกันสูงจรดเพดานที่กำลังปลูกในฮ่องกงและทั่วโลก ซึ่งใช้พื้นที่เพียงหยิบมือเท่านั้น เกษตรกรยุคใหม่ก็สามารถผลิตอาหารภายในร่มได้ตลอดปีและทุกฤดูกาลด้วยการนำเทคโนโลยีแอดวานซ์มาผสมผสาน เช่น การใช้หุ่นยนต์ เซนเซอร์ IoT และซอฟต์แวร์ที่ใช้วิเคราะห์เพื่อควบคุมระบบไฟ อุณหภูมิ และน้ำอย่างละเอียด และต่อจากนี้ผู้ประกอบการยุคใหม่จะเริ่มหันมารวมระบบอันชาญฉลาดต่าง ๆ ให้แสดงผลผ่านหน้าจอเดียวเพื่อติดตามการทำงานได้แบบเรียลไทม์และในทุกฤดูกาล เช่น การจัดการข้อมูลสาธารณูปโภคอันซับซ้อนภายใน Vertical farm ด้วยการใช้เทคโนโลยี Indoor map ที่ออกแบบ Interface ให้ใช้งานง่าย ทำให้ผู้ใช้งานสามารถมอนิเตอร์งานประจำวันและดูแลการเติบโตของพืชพรรณได้อย่างง่ายดาย

จัดการ Vertical farm ในรูปแบบสามมิติ

การนำเทคโนโลยี Indoor map ซึ่งมีพื้นฐานจากเทคโนโลยี GIS มาใช้ย่อมลดเวลาและเพิ่มความปลอดภัยในการทำเกษตรแบบ Vertical farming ได้เป็นอย่างดี เพราะทำให้นักปฐพีวิทยา ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ หรือแม้กระทั่งหุ่นยนต์มองเห็นสภาพแวดล้อมภายในร่มที่มีความซับซ้อนได้ อย่างไรก็ดีเทคโนโลยี Indoor map ไม่ได้มีไว้เพื่อสร้าง Floor plan แบบจำลองเท่านั้น แต่ยังสามารถแสดงข้อมูลอื่น ๆ ที่เหนือชั้น เช่น สามารถเจาะจงดูการเติบโตของพืชผลในแต่ละชั้นแต่ละแถว รวมทั้งแจ้งข้อมูลที่แม่นยำและรวดเร็วให้ผู้ดูแลทราบในเรื่องต่าง ๆ เช่น ตำแหน่งของถาดที่กำลังเติบโต ปริมาณแสงสว่างในแต่ละชั้น ไปจนกระทั่งอุณหภูมิเฉพาะบางห้อง และในที่สุดเมื่อ Indoor map สะสมข้อมูลการจัดการได้มากพอก็จะสามารถสร้าง Digital twin ระบบสาธารณูปโภคทั้งหมดภายใน Vertical farming ในรูปแบบสามมิติเพื่อการจัดการที่ดียิ่งขึ้น

ตามติดระบบที่สำคัญผ่านทางออนไลน์

คอนเซ็ปต์การ Mapping ที่ใช้ใน Indoor farm ได้นำไปใช้มากขึ้นในการทำ IT Mapping ของอุตสาหกรรมอื่น ๆ  โดยการทำ Mapping เทคโนโลยีต่าง ๆ ภายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นแลปทอปและอุปกรณ์ IoT ไปจนกระทั่งเราเตอร์และเซิฟเวอร์ต่าง ๆ ช่วยให้ผู้บริหาร CIO สามารถมอนิเตอร์การทำงาน IT ตั้งแต่เรื่องใหญ่ ๆ ที่เป็นหัวใจหลักขององค์กร ไปจนกระทั่งเรื่องเล็ก ๆ อย่างตู้เซิฟเวอร์แต่ละตัวได้เลยทีเดียว

ในส่วนของ Vertical farming ที่จำเป็นต้องพึ่ง Digital connectivity เพื่อมอนิเตอร์ผลผลิตอย่างสม่ำเสมอนั้น การใช้เทคโนโลยี Indoor map ที่สามารถระบุตำแหน่งและช่วงเวลาที่ระบบจะปิดออฟไลน์จะช่วยลดความเสี่ยงและช่วยให้พืชผลไม่เสียหายได้

“แผนที่ที่สามารถเห็นผลกระทบของสินทรัพย์และแผนกที่ได้รับผลกระทบได้อย่างชัดเจน ย่อมช่วยให้ผู้บริหารรับรู้และแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วเพื่อลดความเสียหายทั้งก่อนและระหว่างที่เกิดปัญหา ป้องกันความสูญเสียมหาศาลได้”

เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน

แม้ว่าความสามารถของ Vertical farming จะช่วยลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม นักวิจารณ์ก็ยังเห็นว่าระบบการควบคุมสภาพอากาศภายในร่มยังใช้พลังงานมากอยู่ดี แม้สาธารณูปโภคบางส่วนจะสามารถร่วมมือกับพันธมิตรนำพลังงานของลมและแสงอาทิตย์มาใช้ได้ แต่ก็มีอีกหลายส่วนที่ยังต้องพึ่งพลังงานจากน้ำมัน และอาจใช้มากกว่าการทำเกษตรกรรมแบบกลางแจ้งเสียด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ดี แนวทางที่ผู้ประกอบการจะสามารถลดการใช้พลังงานได้คือการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ติดตามการใช้พลังงาน ไม่ว่าจะในด้านกระบวนการผลิต ประเภทของพืชผล และตำแหน่งการปลูก รวมทั้งทดสอบพลังงานของแสงสว่างที่มีประสิทธิภาพ และการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ รวมทั้งประเมินพฤติกรรมการชอปปิ้งของผู้บริโภคท้องถิ่นเพื่อตรวจสอบว่าพืชผลที่ปลูกตรงตามความต้องการหรือไม่

“การนำข้อมูลปฏิบัติการประกอบร่วมกับเทคโนโลยี Indoor map ทำให้ผู้ประกอบการสามารถใช้เครื่องมือการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ที่มีพื้นฐานมาจากเทคโนโลยี GIS ในการเชื่อมความสัมพันธ์ของชุดข้อมูล โมเดล และคาดการณ์ผลลัพธ์ รวมทั้งเปรียบเทียบต้นทุนและผลกำไรได้”

ผสานความอัจฉริยะทั้งภายในร่มและกลางแจ้งเพื่อความยั่งยืน

เมื่อธุรกิจการเกษตรนำเทคโนโลยี GIS มาใช้ย่อมทำให้หลุดจากกรอบความคิดแบบเดิม ๆ และเมื่อผสมผสานมุมมองทั้งในร่มและกลางแจ้งเข้าไว้ด้วยกันยิ่งช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจการทำการเกษตรที่ยั่งยืนได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างประโยชน์ของเทคโนโลยี GIS เช่น แสดงระยะการเดินทางของพืชผลที่ไม่ทำให้ค่าขนส่งแพงเกินไป หรือปล่อยก๊าซคาร์บอนเยอะเกินไป แสดงให้เห็นว่าพืชผลใดเติบโตง่ายในพื้นที่กลางแจ้งตามสภาพอากาศท้องถิ่น และชี้แนะพื้นที่เพาะปลูกที่จำเป็นต้องลดการขนส่งทางไกล และหันมาเพิ่มการเข้าถึงอาหารสดใหม่ในชุมชนใกล้เคียงแทน

กล่าวโดยสรุป เมื่อความคิดและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ช่วยเปลี่ยนรูปแบบการทำเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมไปทั่วโลก เหล่านักคิดยุคใหม่จึงต่างค้นหาความได้เปรียบจากความรู้ด้านภูมิศาสตร์เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในทุกมิติการดำเนินงาน ครอบคลุมทุกพื้นที่ไม่เว้นแม้กระทั่งพื้นที่ภายในอาคารเพื่อแต้มต่อทางธุรกิจที่เหนือคู่แข่ง

 

 


 

ค้นหาศักยภาพของเทคโนโลยี GIS กับการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ เพิ่มเติม

 

อ่านเพิ่มเติม