02 Jun ArcGIS เบื้องหลังภารกิจช่วยเหลืออาคารถล่ม จากข้อมูลสู่การตัดสินใจในสถานการณ์ฉุกเฉิน
เมื่อเทคโนโลยี GIS กลายเป็นกลไกสำคัญในการรับมือภัยพิบัติระดับประเทศ พลิกสถานการณ์วิกฤตให้เป็นแนวทางปฏิบัติและการจัดการที่แม่นยำอย่างมีประสิทธิภาพ
ในสถานการณ์ฉุกเฉิน “ข้อมูล” คือทรัพยากรสำคัญที่สุด เทคโนโลยี GIS (Geographic Information System) จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือสร้างแผนที่อีกต่อไป แต่กลายเป็นเทคโนโลยีที่ช่วย “เชื่อมโยงข้อมูล สร้างความเข้าใจ และขับเคลื่อนการตัดสินใจ” แบบเรียลไทม์
กรณีเหตุอาคารถล่ม ณ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) คืออีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนพลังของ GIS ในการสนับสนุนภารกิจช่วยเหลือชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการนำเทคโนโลยี GIS มาใช้ในทุกมิติของการทำงาน ตั้งแต่การสำรวจ วิเคราะห์ วางแผน ไปจนถึงการสื่อสารร่วมกันระหว่างทีมในภาคสนามและหน่วยบัญชาการ
ความท้าทายที่ไม่ใช่แค่เรื่องพื้นที่ – การจัดการภารกิจในพื้นที่ภัยพิบัติมีความซับซ้อนมากกว่าที่ตาเห็น ความท้าทายหลักในการปฏิบัติงานครั้งนี้ เช่น
- ข้อมูลกระจัดกระจาย และการแชร์ข้อมูลล่าช้า
- ขาดการมองเห็นสถานการณ์ในภาพรวมแบบเรียลไทม์
- การสื่อสารกับประชาชนและหน่วยงานเกี่ยวข้องยังไม่ทั่วถึง
- การจัดสรรทรัพยากรไม่ตรงจุด
GIS เข้ามาช่วยภารกิจนี้อย่างไร?
เทคโนโลยี GIS ทำหน้าที่เป็น “แพลตฟอร์มกลาง” ที่เชื่อมโยงข้อมูลทุกมิติไว้ด้วยกัน ทั้งข้อมูลเชิงพื้นที่ ภาพถ่ายทางอากาศ ข้อมูลจากโดรน ข้อมูลจากภาคสนาม และการวิเคราะห์สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
จากภาพโดรน… สู่แผนที่ 3D ที่วิเคราะห์ได้ทันที
ภาพถ่ายทางอากาศที่ได้จากโดรน ไม่ใช่แค่ภาพประกอบ แต่ถูกประมวลผลเป็น Orthophoto และโมเดล 3D ของพื้นที่จริง ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถประเมินโครงสร้างอาคาร สภาพพื้นที่เสี่ยง และวางแผนการเข้าช่วยเหลือได้แม่นยำขึ้น ลดความเสี่ยงต่อทีมกู้ภัย
การเก็บข้อมูลภาคสนามที่ เร็ว-ตรงจุด-แม่นยำ
เจ้าหน้าที่สามารถใช้เครื่องมือ GIS บนมือถือเพื่อบันทึกจุดที่พบผู้ประสบภัย วัตถุต้องสงสัย หรือพื้นที่เสี่ยง พร้อมระบุตำแหน่ง พิกัดและแนบภาพถ่าย ข้อมูลทั้งหมดจะส่งตรงเข้าระบบกลางทันที ช่วยลดเวลาในการสื่อสาร และหลีกเลี่ยงความผิดพลาดจากการจดบันทึกแบบเดิม
การสร้างภาพรวมสถานการณ์ที่ทุกฝ่าย “เห็นตรงกัน”
หนึ่งในหัวใจสำคัญคือการทำให้ทุกฝ่าย—จากผู้ปฏิบัติงานภาคสนามจนถึงผู้บริหาร—“เห็นข้อมูลชุดเดียวกัน” ผ่าน Web-based Interactive Map ที่รวมข้อมูลทั้งหมดไว้ในหน้าเดียว ช่วยให้ตัดสินใจได้ทันเวลา และทำงานสอดประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ
การวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อการคาดการณ์และตัดสินใจ
GIS ไม่ได้เพียงแค่บอกว่า “ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น” แต่สามารถวิเคราะห์คาดการณ์ว่า “สิ่งใดจะเกิดขึ้นต่อไป” ด้วยการประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ ผนวกกับการวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยง การวัดประเมินปริมาตรและความสูงของตึกที่ถล่ม เพื่อวางแผนการรื้อถอน วางแผนการค้นหา กำหนดเส้นทางการเข้าถึงที่ปลอดภัย และการจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
.
กรณีนี้ทำให้เห็นว่า GIS ไม่ใช่แค่เครื่องมือของนักแผนที่อีกต่อไป แต่เป็น “ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ” ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในสถานการณ์วิกฤต
- ทำให้ข้อมูลมีโครงสร้างและใช้งานได้ง่าย
- ช่วยให้ทุกฝ่ายเห็นภาพเดียวกัน
- เร่งกระบวนการตัดสินใจ
- เพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ปฏิบัติงาน
- สนับสนุนการสื่อสารสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ
ในสถานการณ์เร่งด่วน การมีระบบที่สามารถรวมข้อมูลจากทุกฝ่ายให้เข้าถึงได้ทันที คือสิ่งที่สร้างความต่างให้การตัดสินใจ เทคโนโลยี GIS ทำหน้าที่เชื่อมโยงข้อมูลภาคสนาม ภาพถ่ายทางอากาศ และการวิเคราะห์พื้นที่ เข้าด้วยกันแบบไร้รอยต่อ
ไม่เพียงแค่สร้างแผนที่ แต่ GIS ยังช่วยให้เห็น “ภาพรวมของสถานการณ์” ผ่านมุมมองแบบ 3 มิติ เข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรายวัน และตอบคำถามสำคัญได้อย่างแม่นยำ เช่น พื้นที่ไหนเสี่ยง? จุดไหนควรเร่งเข้าไปช่วยเหลือ? ต้องจัดทรัพยากรอย่างไร? สะท้อนให้เห็นว่า เทคโนโลยี GIS คือทางรอดในยามวิกฤต ไม่ใช่แค่ทางเลือก และไม่ได้มีบทบาทเฉพาะในภารกิจระยะสั้น แต่ยังปูพื้นฐานสำหรับการเรียนรู้ วิเคราะห์ และเตรียมความพร้อมในอนาคต
.